BRAND AND OEM CONSULTING (THAILAND)

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562

ฝ้า...ปัญหาที่ต้องทำความเข้าใจ


เมื่อเริ่มเป็นสาวปัญหาผิวพรรณที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นส่วนมากคือเรื่องสิว ครั้นพออายุย่างเข้าเลข ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยก็ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องฝ้าที่ทำให้ใบหน้ามีร่องรอย ด่างดำ หมองคล้ำ บางคนปล่อย ให้ฝ้าลุกลามขยายเต็มใบหน้าเพราะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ในขณะที่อีกหลายคนดิ้นรนรักษาทุกวิธีเพื่อให้ร่องรอยที่น่าเกลียดเลือนหายไปจากใบหน้า
ฝ้าเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ และจะป้องกันไม่ให้เป็นฝ้าได้อย่างไร เหล่านี้คือคำถามที่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งต้องการคำตอบที่ชัดเจน


ลักษณะของฝ้า 
ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือ ดำ ซึ่งขอบเขตของปื้นอาจไม่ชัดเจนนักคืออาจมีสีเข้มแล้วขอบๆ อาจมีสีจางลงเป็นได้ทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก จมูก ฝ้าเป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อยในคนเอเชียที่มีผิวคล้ำ

ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้หญิงจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า ฝ้าเกิดจากอายุที่มากขึ้นโดยเฉพาะผู้หญิงที่ย่างเข้าสู่วัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่หมดฮอร์โมนทำให้ผิวพรรณมีปัญหา แต่ความจริงแล้วฝ้าเกิดจากการที่เซลล์ เมลาโนไซต์ ซึ่งอยู่ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุดของผิวหนัง ผลิตเมลานินหรือเม็ดสีออกมามากเกินจำเป็น โดยมีหลายสาเหตุเป็นตัวกระตุ้น
-การตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้น
-การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยากันชัก หรือยารักษาโรคหัวใจบางชนิด
-เรื่องของพันธุกรรม เป็นเรื่องที่อาจจะไม่เคยอยู่ในความคิดของคนส่วนใหญ่มาก่อน แต่ทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่ามีผลแน่นอน
-การแพ้น้ำหอมหรือเครื่องสำอาง สารที่ให้ความหอมบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับแสงแดด แล้วทำให้เกิดรอยคล้ำได้ เช่น สบู่หอม หรือน้ำยาหลังโกนหนวด เป็นต้น
-แสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า เพราะการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้โดนแสงแดดเลยเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก สังเกตได้ว่าคนส่วนใหญ่จะเป็นฝ้าบริเวณที่ถูกแสงแดดสม่ำเสมอ เช่น จมูก แก้ม หน้าผาก และฝ้าจะเข้มขึ้นถ้าไปตากแดดเป็นเวลานาน

ฝ้ารักษาหายขาดหรือไม่
ฝ้าไม่ใช่โรคแต่เป็นกลไกการป้องกันตัวเองตามธรรมชาตินั่นคือ เมื่อคนเราอยู่ในที่มีแสงแดดจัดเซลล์ผิวหนังก็จะผลิตเมลานินขึ้นมาเพื่อป้องกันแสงแดดจะว่าไปแล้วก็เหมือนธรรมชาติจัดสรร ที่คนผิวสีคล้ำมักจะอยู่ในที่มีแสงแดดจัด อย่างเช่น พวกนิโกร ในขณะที่คนผิวขาวก็จะอยู่ในแถบที่มีแสงแดดน้อยเพราะฉะนั้นคนผิวขาวจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องฝ้าแต่คนกลุ่มนี้จะเจอกับปัญหามะเร็งผิวหนังค่อนข้างมาก ในขณะที่คนมีผิวสีจะไม่เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง แต่ก็มีปัญหาเรื่องฝ้าโดยวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน การจะทำลายเม็ดสีทั้งหมดในร่างกายสามารถทำได้ไม่ยากแต่นั่นหมายถึงว่าร่างกายก็จะไม่มีเกราะป้องกันตัวเองตามธรรมชาติและจะมีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว อย่างเช่นกรณีของนักร้องชื่อดัง ไมเคิล แจ๊คสัน ที่เปลี่ยนตัวเองจากคนผิวดำมาเป็นผิวขาว(เผือก)ผลคือ ผิวหนังอ่อนแอม่มีภูมิต้านทานโรคและไม่สามารถจะโดนแดดได้เลย(ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีนี้กับคนไข้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ)ต่อให้เรารักษาโดยเครื่องมือแพทย์ที่เรียกว่าเลเซอร์หรือจะทาเซรั่ม ทาครีม กินยารักษาก็ตาม อาจจะทำให้ฝ้าจางลงได้ในระดับนึงแล้วก็อาจจะกลับมาเป็นใหม่ได้เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดด ความร้อน หรือแสงไฟที่สว่างมาก เช่น สปอร์ตไลท์ ได้ตลอดสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเราเพราะฉะนั้น ฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ได้

การทาครีมกันแดดหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารกันแดดอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดด ในช่วงที่แดดแรงควรมีการปกป้องผิวอีกชั้นเมื่อต้องเจอกับแสงแดดแรงโดยตรงโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เช่น การกางร่ม สวมหมวก หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังได้อย่างมิดชิด วิธีนี้เป็นวิธีป้องกันเบื้องต้นของการเกิดฝ้าบนใบหน้าอย่ารอให้เป็นก่อนแล้วมาแก้ทีหลัง หน้าไม่สวยแถมยังต้องมาเสียเงิน เสียเวลารักษาหน้าอีกนะค่ะ

แหล่งที่มา  >> BrandOEM

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

BRAND AND OEM CONSULTING (THAILAND). ขับเคลื่อนโดย Blogger.