ฝ้า...ปัญหาที่ต้องทำความเข้าใจ
ฝ้าเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่
สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ และจะป้องกันไม่ให้เป็นฝ้าได้อย่างไร
เหล่านี้คือคำถามที่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งต้องการคำตอบที่ชัดเจน
ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือ
ดำ ซึ่งขอบเขตของปื้นอาจไม่ชัดเจนนักคืออาจมีสีเข้มแล้วขอบๆ อาจมีสีจางลงเป็นได้ทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก จมูก
ฝ้าเป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อยในคนเอเชียที่มีผิวคล้ำ
ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้หญิงจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า ฝ้าเกิดจากอายุที่มากขึ้นโดยเฉพาะผู้หญิงที่ย่างเข้าสู่วัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่หมดฮอร์โมนทำให้ผิวพรรณมีปัญหา แต่ความจริงแล้วฝ้าเกิดจากการที่เซลล์ เมลาโนไซต์ ซึ่งอยู่ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุดของผิวหนัง ผลิตเมลานินหรือเม็ดสีออกมามากเกินจำเป็น โดยมีหลายสาเหตุเป็นตัวกระตุ้น
ผู้หญิงจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า ฝ้าเกิดจากอายุที่มากขึ้นโดยเฉพาะผู้หญิงที่ย่างเข้าสู่วัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่หมดฮอร์โมนทำให้ผิวพรรณมีปัญหา แต่ความจริงแล้วฝ้าเกิดจากการที่เซลล์ เมลาโนไซต์ ซึ่งอยู่ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุดของผิวหนัง ผลิตเมลานินหรือเม็ดสีออกมามากเกินจำเป็น โดยมีหลายสาเหตุเป็นตัวกระตุ้น
-การตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้น
-การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยากันชัก หรือยารักษาโรคหัวใจบางชนิด
-เรื่องของพันธุกรรม
เป็นเรื่องที่อาจจะไม่เคยอยู่ในความคิดของคนส่วนใหญ่มาก่อน แต่ทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่ามีผลแน่นอน
-การแพ้น้ำหอมหรือเครื่องสำอาง สารที่ให้ความหอมบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับแสงแดด แล้วทำให้เกิดรอยคล้ำได้ เช่น สบู่หอม หรือน้ำยาหลังโกนหนวด เป็นต้น
-การแพ้น้ำหอมหรือเครื่องสำอาง สารที่ให้ความหอมบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับแสงแดด แล้วทำให้เกิดรอยคล้ำได้ เช่น สบู่หอม หรือน้ำยาหลังโกนหนวด เป็นต้น
-แสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า เพราะการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้โดนแสงแดดเลยเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก
สังเกตได้ว่าคนส่วนใหญ่จะเป็นฝ้าบริเวณที่ถูกแสงแดดสม่ำเสมอ เช่น จมูก แก้ม หน้าผาก และฝ้าจะเข้มขึ้นถ้าไปตากแดดเป็นเวลานาน
ฝ้ารักษาหายขาดหรือไม่
ฝ้าไม่ใช่โรคแต่เป็นกลไกการป้องกันตัวเองตามธรรมชาตินั่นคือ เมื่อคนเราอยู่ในที่มีแสงแดดจัดเซลล์ผิวหนังก็จะผลิตเมลานินขึ้นมาเพื่อป้องกันแสงแดดจะว่าไปแล้วก็เหมือนธรรมชาติจัดสรร
ที่คนผิวสีคล้ำมักจะอยู่ในที่มีแสงแดดจัด อย่างเช่น พวกนิโกร ในขณะที่คนผิวขาวก็จะอยู่ในแถบที่มีแสงแดดน้อยเพราะฉะนั้นคนผิวขาวจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องฝ้าแต่คนกลุ่มนี้จะเจอกับปัญหามะเร็งผิวหนังค่อนข้างมาก
ในขณะที่คนมีผิวสีจะไม่เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง แต่ก็มีปัญหาเรื่องฝ้าโดยวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน
การจะทำลายเม็ดสีทั้งหมดในร่างกายสามารถทำได้ไม่ยากแต่นั่นหมายถึงว่าร่างกายก็จะไม่มีเกราะป้องกันตัวเองตามธรรมชาติและจะมีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว อย่างเช่นกรณีของนักร้องชื่อดัง ไมเคิล แจ๊คสัน
ที่เปลี่ยนตัวเองจากคนผิวดำมาเป็นผิวขาว(เผือก)ผลคือ ผิวหนังอ่อนแอ
ไม่มีภูมิต้านทานโรคและไม่สามารถจะโดนแดดได้เลย(ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีนี้กับคนไข้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ)ต่อให้เรารักษาโดยเครื่องมือแพทย์ที่เรียกว่าเลเซอร์หรือจะทาเซรั่ม ทาครีม กินยารักษาก็ตาม อาจจะทำให้ฝ้าจางลงได้ในระดับนึงแล้วก็อาจจะกลับมาเป็นใหม่ได้เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดด
ความร้อน หรือแสงไฟที่สว่างมาก เช่น สปอร์ตไลท์ ได้ตลอดสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเราเพราะฉะนั้น “
ฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ ”
การทาครีมกันแดดหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารกันแดดอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดด
ในช่วงที่แดดแรงควรมีการปกป้องผิวอีกชั้นเมื่อต้องเจอกับแสงแดดแรงโดยตรงโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า
เช่น การกางร่ม สวมหมวก หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังได้อย่างมิดชิด วิธีนี้เป็นวิธีป้องกันเบื้องต้นของการเกิดฝ้าบนใบหน้าอย่ารอให้เป็นก่อนแล้วมาแก้ทีหลัง
หน้าไม่สวยแถมยังต้องมาเสียเงิน เสียเวลารักษาหน้าอีกนะค่ะ
แหล่งที่มา >> BrandOEM
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น