BRAND AND OEM CONSULTING (THAILAND)

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562

มีนาคม 25, 2562

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อสกินแคร์


จะเลือกซื้อสกินแคร์ให้เหมาะกับตัวเองต้องดูจากอะไร? ซื้อสกินแคร์แบรนด์ดังมาใช้ทำไมหน้าพัง? นี่คือปัญหาของใครหลายๆคนใช่มั้ย นั่นเป็นเพราะว่าคุณเลือกสกินแคร์ไม่เหมาะกับผิวหรือมีส่วนผสมที่ไม่ถูกกับผิวของคุณ สกินแคร์ในตอนนี้ก็มีให้เลือกมากมายหลายตัวจนไม่รู้ต้องใช้ตัวไหนดี ซื้อใช้แล้วไม่เวิร์กก็ต้องโยนทิ้ง วันนี้ BrandOEM มีวิธีแนะนำง่ายๆที่ช่วยให้คุณเลือกซื้อสกินแคร์ได้เหมาะกับผิวของคุณมากขึ้น รับรองรู้แล้วคุณจะไม่ผิดหวังเลยหล่ะ

§  

ต้องรู้จักสภาพผิวของตัวเองก่อน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะเลือกสกินแคร์มาใช้ไม่ใช่ดูแค่คุณภาพและราคาของมันเท่านั้น แต่คุณควรจะรู้จักสภาพผิวของตัวเองเสียก่อนว่าคุณเป็นสาวผิวมัน ผิวแห้ง ผิวธรรมดา หรือผิวแพ้ง่ายเพราะผิวแต่ละแบบก็เหมาะกับสกินแคร์ที่แตกต่างกันไป หากคุณรู้จักสภาพผิวของตัวเองดีแล้วการเลือกสกินแคร์บำรุงผิวให้ได้ผลดีมาใช้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย

ไม่จำเป็นต้องซื้อเป็นเซต
ตอนนี้ทั้งเคาร์เตอร์แบรนด์ เว็บไซต์ โลกออนไลน์ต่างๆหรือแม้กะทั่งบริษัทผู้ผลิตครีมเกาหลีแบรนด์ใหม่ๆทั่วไปก็ผลิตเซตสกินแคร์มาวางขาย ทำให้คุณคิดว่าหากต้องการบำรุงผิวให้สวยได้ดั่งใจที่ต้องการ ควรจะซื้อยกเซตแต่ความจริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องซื้อยกเซตอย่างที่คิดเพราะของบางอย่างในเซตก็ไม่ได้เหมาะกับผิวของคุณ เช่น โทนเนอร์ หรืออายเซรั่มที่คุณไม่ค่อยได้ใช้ ฉะนั้นคุณควรซื้อเฉพาะสกินแคร์ตัวที่จำเป็นที่ต้องใช้เป็นประจำ เช่น คลีนเซอร์ล้างหน้าและครีมบำรุงผิวหน้าก็พอ

ใช้สกินแคร์หลายๆอย่างรวมกัน
 สาวๆอาจจะข้องใจว่าการใช้สกินแคร์หลากหลายยี่ห้อหรือหลากหลายสูตรปนกันจะทำให้เกิดผลเสียหรือไม่ บอกเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรค่ะเพราะหากสกินแคร์ที่คุณเลือกใช้เหมาะกับผิวหน้าของคุณแล้ว ก็สามารถใช้รวมกันหลากหลายเซตได้ไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ

ควรคำนึงถึงอายุ
จะเลือกใช้สกินแคร์ก็ต้องคำนึงถึงอายุด้วยเพราะสกินแคร์ที่คุณเคยใช้แล้วได้ผลดีในช่วงอายุ 20 แน่นอนว่ามันจะไม่ได้ผลดีตอนคุณเป็นสาวใหญ่วัย 40 อยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่ออายุเริ่มเพิ่มขึ้นปัญหาผิวต่างๆก็จะเพิ่มขึ้น คุณจึงควรที่จะเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับอายุของตัวเอง หากไม่แน่ใจว่าแบบไหนจะเหมาะกับตัวเราอาจจะลองไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังก็ดีเหมือนกัน

ไม่จำเป็นต้องซื้อราคาแพง
อย่าคิดว่าสกินแคร์แบรนด์หรูราคาแพงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมกับผิวหน้าของคุณเท่านั้น เพราะยังมีสกินแคร์อีกหลายตัวที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ต ตามเว็บไซต์ หรือเพจที่มีขายเครื่องสำอางทั่วไป บางตัวก็มีส่วนผสมเดียวกันกับสกินแคร์ราคาแพงพวกนั้นซึ่งก็หมายความว่าคุณสามารถจ่ายถูกได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีเหมือนกันแบบนี้ได้ทั้งความสวยและประหยัดเงินเพิ่มขึ้นอีกนะออเจ้า ^^

อ่านฉลาก คำแนะนำ ก่อนซื้อ
หากเพื่อนๆของคุณบอกว่า สกินแคร์ตัวนี้เริ่ดสุดๆจนทำให้คุณอดใจไม่ไหวต้องรีบไปตามหามาใช้บอกเลยว่าใจเย็นๆก่อนนะคะเพราะผิวคนเราไม่ได้เหมือนกันไปสะหมด แม้ว่าเพื่อนคุณใช้สกินแคร์ตัวนี้แล้วได้ผลดี แต่เวลาคุณใช้อาจจะทำให้หน้าหมองคล้ำ สิวเห่อขึ้นมาทันทีก็เป็นได้ ฉะนั้นก่อนจะซื้อสกินแคร์ทุกชิ้นคุณควรอ่านฉลากหรือคำแนะนำก่อนว่ามีส่วนผสมที่ทำให้คุณแพ้หรือเสี่ยงระคายเคืองผิว ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อใช้เพราะไม่อย่างนั้นผิวสวยๆอาจจะกลายเป็นผิวเสียไปเลยก็ได้นะค่ะ

หวังว่าวิธีที่ BrandOEM แนะนำคงจะช่วยให้สาวๆเลือกและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แถมยังได้ประหยัดงบไปอี๊กกกก รู้แบบนี้แล้วรอช้าอยู่ทำไมไปช็อปกันเลยดีกว่า ^^


แหล่งที่มา >>BrandOEM


วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2562

มีนาคม 23, 2562

ประโยชน์ดีๆของการใช้โฟมล้างหน้า

                                    
ประโยชน์ดีๆของการใช้โฟมล้างหน้า


ใช้น้ำเปล่าล้างหน้าไม่ได้หร่อ? ทำไมต้องใช้โฟมล้างหน้า? โฟมล้างหน้ามีประโยชน์จริงหรือไม่? สงสัยกันอยู่ใช่มั้ยหล่ะ คำถามเหล่านี้คงอยู่ในความคิดกับใครหลายๆคนแต่ไม่ต้องซีเรียสไปค่ะ เรามีคำตอบให้อยู่แล้วงั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ

ปัจจุบันโฟมล้างหน้ามีมากมายหลายสูตร หลายประเภท หลากหลายแบรนด์ให้เลือกใช้แต่ละแบรนด์มักจะคิดค้นสูตรที่เน้นความเป็นธรรมชาติหรือที่เรียกว่า 'ออร์แกนิค' ในโฟมล้างหน้าเพื่อดูแลผิวจากสารเคมีที่ตกค้างซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวและริ้วรอย เป็นนวัตกรรมดีๆที่ผลิตจากโรงงานเกาหลีและโรงงานในไทย ประโยชน์หลักของการใช้โฟมล้างหน้าคือช่วยทำความสะอาดที่ล้ำลึกกว่าการทำความสะอาดผิวหน้าด้วยน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว ผิวหน้าเป็นส่วนที่บอบบางมากที่สุดจึงต้องการการดูแลอย่างอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญควรเลือกใช้โฟมล้างหน้าให้เหมาะสมกับสภาพผิวด้วยเช่นกัน ควรสังเกตุจากสภาพผิวของเราเป็นผิวประเภทไหน เช่นผิวแพ้ง่าย(สิวหรือผดผื่น) ผิวมัน หรือผิวแห้ง เหมาะกับโฟมล้างหน้าแบบไหน สำหรับคนที่เป็นสิวหรือผิวแพ้ง่ายนั้นควรจะเลือกโฟมล้างหน้าที่ไม่ระคายเคืองต่อผิว หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีน้ำหอม หรือเลือกโฟมประเภทช่วยรักษาดูแลปัญหาสิวโดยเฉพาะ หากโฟมนั้นไม่สามารถล้างสิ่งสกปรกหรือคราบมันได้สะอาดหมดจดก็อาจทำให้เกิดปัญหาสิวตามมา แม้ว่าสิ่งสกปรกจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดสิวแต่การล้างหน้าไม่สะอาดจะทำให้รูขุมขนเราอุดตัน เกิดเป็น “สิวอุดตัน” ขึ้นมาทันที ซึ่งการเลือกใช้โฟมที่มีสารสกัดจากธรรมชาติจะมีความอ่อนโยนช่วยดูแลผิวที่มีปัญหาสิวหรือผิวแพ้ง่ายให้ดีขึ้น สามารถลดการเกิดอาการระคายเคืองรวมถึงการเกิดสิวใหม่ด้วย สาวๆที่มีผิวหน้ามันความรู้สึกก็ไม่แพ้กับสาวๆที่หน้าเป็นสิวฉะนั้นควรจะเลือกใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของสารควบคุมความมัน แต่ยังคงให้ความชุ่มชื้นไม่แห้งตึงเพราะความแห้งตึงก็อาจก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรได้ ผิวหมองคล้ำก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาผิวที่มาจากปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะเป็นมลภาวะทางอากาศ ฝุ่นละออง ฝุ่นควันต่างๆ รวมถึงสิ่งสกปรกที่สะสมบนผิวหน้าในระหว่างวัน ควรจะเลือกใช้โฟมล้างหน้าที่ทำความสะอาดอย่างล้ำลึกและขจัดเซลล์ผิวเก่าพร้อมเผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสขึ้น คนที่ผิวแห้งคือสภาพผิวที่ต้องการดูแลอย่างอ่อนโยน การใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรส์เซอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวหน้าไม่แห้งตึง ไม่หยาบกร้าน เพราะผิวแห้งนั้นต้องการการดูแลอย่างล้ำลึกควรจะต้องพิถีพิถันกันนิดนึงนะค่ะ

ดังนั้น สาวๆหรือหนุ่มๆที่ต้องการดูแลผิวหน้าควรนึกถึงสภาพผิวของตัวเองเป็นหลักสิ่งนี้คือสิ่งสำคัญอันดับแรก โดยเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองแล้วตามด้วยวิธีบำรุงอื่นๆเป็นขั้นตอนต่อไปค่ะ


แหล่งที่มา >>BrandOEM



วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562

มีนาคม 19, 2562

ฝ้า...ปัญหาที่ต้องทำความเข้าใจ


เมื่อเริ่มเป็นสาวปัญหาผิวพรรณที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นส่วนมากคือเรื่องสิว ครั้นพออายุย่างเข้าเลข ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยก็ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องฝ้าที่ทำให้ใบหน้ามีร่องรอย ด่างดำ หมองคล้ำ บางคนปล่อย ให้ฝ้าลุกลามขยายเต็มใบหน้าเพราะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ในขณะที่อีกหลายคนดิ้นรนรักษาทุกวิธีเพื่อให้ร่องรอยที่น่าเกลียดเลือนหายไปจากใบหน้า
ฝ้าเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ และจะป้องกันไม่ให้เป็นฝ้าได้อย่างไร เหล่านี้คือคำถามที่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งต้องการคำตอบที่ชัดเจน


ลักษณะของฝ้า 
ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือ ดำ ซึ่งขอบเขตของปื้นอาจไม่ชัดเจนนักคืออาจมีสีเข้มแล้วขอบๆ อาจมีสีจางลงเป็นได้ทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก จมูก ฝ้าเป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อยในคนเอเชียที่มีผิวคล้ำ

ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้หญิงจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า ฝ้าเกิดจากอายุที่มากขึ้นโดยเฉพาะผู้หญิงที่ย่างเข้าสู่วัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่หมดฮอร์โมนทำให้ผิวพรรณมีปัญหา แต่ความจริงแล้วฝ้าเกิดจากการที่เซลล์ เมลาโนไซต์ ซึ่งอยู่ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุดของผิวหนัง ผลิตเมลานินหรือเม็ดสีออกมามากเกินจำเป็น โดยมีหลายสาเหตุเป็นตัวกระตุ้น
-การตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้น
-การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยากันชัก หรือยารักษาโรคหัวใจบางชนิด
-เรื่องของพันธุกรรม เป็นเรื่องที่อาจจะไม่เคยอยู่ในความคิดของคนส่วนใหญ่มาก่อน แต่ทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่ามีผลแน่นอน
-การแพ้น้ำหอมหรือเครื่องสำอาง สารที่ให้ความหอมบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับแสงแดด แล้วทำให้เกิดรอยคล้ำได้ เช่น สบู่หอม หรือน้ำยาหลังโกนหนวด เป็นต้น
-แสงแดด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า เพราะการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้โดนแสงแดดเลยเป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก สังเกตได้ว่าคนส่วนใหญ่จะเป็นฝ้าบริเวณที่ถูกแสงแดดสม่ำเสมอ เช่น จมูก แก้ม หน้าผาก และฝ้าจะเข้มขึ้นถ้าไปตากแดดเป็นเวลานาน

ฝ้ารักษาหายขาดหรือไม่
ฝ้าไม่ใช่โรคแต่เป็นกลไกการป้องกันตัวเองตามธรรมชาตินั่นคือ เมื่อคนเราอยู่ในที่มีแสงแดดจัดเซลล์ผิวหนังก็จะผลิตเมลานินขึ้นมาเพื่อป้องกันแสงแดดจะว่าไปแล้วก็เหมือนธรรมชาติจัดสรร ที่คนผิวสีคล้ำมักจะอยู่ในที่มีแสงแดดจัด อย่างเช่น พวกนิโกร ในขณะที่คนผิวขาวก็จะอยู่ในแถบที่มีแสงแดดน้อยเพราะฉะนั้นคนผิวขาวจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องฝ้าแต่คนกลุ่มนี้จะเจอกับปัญหามะเร็งผิวหนังค่อนข้างมาก ในขณะที่คนมีผิวสีจะไม่เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง แต่ก็มีปัญหาเรื่องฝ้าโดยวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน การจะทำลายเม็ดสีทั้งหมดในร่างกายสามารถทำได้ไม่ยากแต่นั่นหมายถึงว่าร่างกายก็จะไม่มีเกราะป้องกันตัวเองตามธรรมชาติและจะมีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว อย่างเช่นกรณีของนักร้องชื่อดัง ไมเคิล แจ๊คสัน ที่เปลี่ยนตัวเองจากคนผิวดำมาเป็นผิวขาว(เผือก)ผลคือ ผิวหนังอ่อนแอม่มีภูมิต้านทานโรคและไม่สามารถจะโดนแดดได้เลย(ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีนี้กับคนไข้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ)ต่อให้เรารักษาโดยเครื่องมือแพทย์ที่เรียกว่าเลเซอร์หรือจะทาเซรั่ม ทาครีม กินยารักษาก็ตาม อาจจะทำให้ฝ้าจางลงได้ในระดับนึงแล้วก็อาจจะกลับมาเป็นใหม่ได้เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดด ความร้อน หรือแสงไฟที่สว่างมาก เช่น สปอร์ตไลท์ ได้ตลอดสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเราเพราะฉะนั้น ฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ได้

การทาครีมกันแดดหรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารกันแดดอาจไม่เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดด ในช่วงที่แดดแรงควรมีการปกป้องผิวอีกชั้นเมื่อต้องเจอกับแสงแดดแรงโดยตรงโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เช่น การกางร่ม สวมหมวก หรือสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังได้อย่างมิดชิด วิธีนี้เป็นวิธีป้องกันเบื้องต้นของการเกิดฝ้าบนใบหน้าอย่ารอให้เป็นก่อนแล้วมาแก้ทีหลัง หน้าไม่สวยแถมยังต้องมาเสียเงิน เสียเวลารักษาหน้าอีกนะค่ะ

แหล่งที่มา  >> BrandOEM

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2562

มีนาคม 18, 2562

มาสก์หน้าผิด หน้าอาจพังแบบไม่รู้ตัว!


เชื่อว่าเพื่อนๆหลายๆคนอาจจะยังมาสก์หน้าแบบผิดๆ แล้วก็ไม่รู้วิธีมาสก์หน้าที่ถูกต้องควรทำอย่างไร วันนี้ BrandOEM จะมาบอกวิธีมาสก์หน้าที่ถูกต้องให้ทราบกันค่ะ 





1.ควรล้างมือล้างหน้าให้สะอาดก่อนมาสก์หน้า
ก่อนจะหยิบแผ่นมาสก์หน้าออกมาจากซอง อย่าลืมล้างมือและล้างหน้าให้สะอาดเสียก่อนเพราะไม่อย่างนั้นเชื้อโรคจากมือและใบหน้าที่เผชิญมลภาวะมาตลอดทั้งวัน อาจจะมาแพร่เชื้อลงบนแผ่นมาสก์หน้าก็ได้ ทำให้แทนที่จะได้บำรุงผิวหน้าแต่อาจจะพ่วงเชื้อโรค แพร่เชื้อบนใบหน้าแทน ทีนี้จากที่จะบำรุงรักษากลายเป็นสะสมสิ่งสกปรกเพิ่มเข้าไปอีก อาจจะทำให้เกิดสิว เกิดผดขึ้นมาได้ แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะค่ะสาวๆ

2. ไม่ควรใช้มาสก์แผ่นเดิมซ้ำๆ
ในการใช้แผ่นมาสก์บำรุงผิวหน้ายังมีอีกข้อที่หลายคน อาจจะเข้าใจผิดกันอยู่คือ แผ่นมาสก์สามารถใช้ได้หลายครั้งรึเปล่า? ซึ่งขอบอกตรงนี้ว่าใช้แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วเพราะการแกะแผ่นมาสก์มาใช้ในครั้งแรก ก็โดนทั้งอากาศและฝุ่น แถมถ้ายังจะเก็บไว้ก็ทำให้สารประกอบที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์นั้นเสื่อมสภาพลงอีกด้วย จึงแนะนำว่าไม่ควรใช้แผ่นมาสก์หน้าเดิมซ้ำๆ ไม่เช่นนั้นหน้าของคุณอาจจะพังก็เป็นได้

3. อย่ามาสก์หน้าเกินเวลา
สำหรับการมาสก์หน้าถือว่าเป็นการบำรุงผิวหน้าอีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถมาสก์ทิ้งไว้นานๆ หรือตลอดทั้งคืนได้เพราะการมาสก์หน้าเกินเวลาที่ระบุไว้ นอกจากจะไม่ได้สารบำรุงที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหน้าแล้ว ยังทำให้หน้าแห้งหนักกว่าเดิมอีกเพราะแผ่นมาสก์ที่แห้งติดหน้าจะดูดความชุ่มชื้นออกจากผิวเราออกไปนั่นเอง ส่วนมากเราจะใช้มาสก์หน้าทิ้งไว้ไม่เกิน15-20นาที เพราะฉะนั้นควรจะอ่านวิธีใช้ให้ดีก่อนจะใช้ดีที่สุดค่ะ

4. เช็คให้ดีว่าหลังมาสก์หน้าเสร็จ ต้องล้างหน้าหรือไม่
แผ่นมาสก์หน้าแต่ละยี่ห้อนั้นมีขั้นตอนการใช้งานที่แตกต่างกัน ฉะนั้นไม่ใช่ว่าแผ่นมาสก์หน้าทุกแผ่นจะมาสก์เสร็จแล้วสามารถทาครีมบำรุงต่อได้เลย เพราะมีบางยี่ห้อที่พอมาสก์หน้าเสร็จแล้วก็ต้องล้างหน้าอีก 1 รอบ ค่อยตามด้วยสกินแคร์บำรุง ดังนั้นควรดูรายละเอียดให้ดีว่าหลังมาสก์หน้าเสร็จ ต้องล้างหน้าด้วยหรือไม่ หากไม่ล้างอาจเป็นสาเหตุทำให้ผิวระคายเคือง เกิดการแพ้และเกิดสิวได้


5. เก็บมาสก์ไว้ในตู้เย็นไม่ได้ช่วยยืดอายุ (เช็ควันหมดอายุ)
มีหลายคนเชื่อว่าการแช่แผ่นมาสก์หน้าไว้ในตู้เย็นอาจช่วยยืดอายุการใช้งานของแผ่นมาสก์หน้าได้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะความเย็นมีส่วนทำให้สารประกอบบางชนิดลดประสิทธิภาพลงได้ ดังนั้นหลังซื้อแผ่นมาสก์หน้ามาแล้ว ควรเช็ควันหมดอายุให้ดีและใช้ให้ทันก่อนหมดอายุจึงจะดีที่สุด สำหรับการเก็บแผ่นมาสก์หน้านั้น ควรเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องและห้ามโดนแสงแดดโดยตรงแค่นั้นพอ


สรุปง่ายๆเลยนะคะ สามารถมาสก์หน้าได้ทุกวันแต่ต้องเป็นมาสก์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นเท่านั้นและไม่ควรทิ้งระยะเวลาการมาสก์เกิน 20 นาที ไม่อย่างงั้นผิวเหี่ยวอย่างที่กลัวแน่นอน เอาละค่ะ ทีนี้เราก็จะมาส์กหน้าได้อย่างสบายใจแล้ว คืนนี้ก่อนนอนก็จัดสักแผ่นดีกว่า หน้าจะได้สวยใส เด้งๆ แบบสาวเกาหลีกันไปเลย


แหล่งที่มา >>  BrandOEM






วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

มีนาคม 16, 2562

ผลิตเครื่องสำอางเกาหลีอย่างไร ให้ขายดี?

ผลิตเครื่องสำอางเกาหลีอย่างไร ให้ขายดี?


อย่าตกใจ!! ถ้าวันนี้จะมีโอกาสเป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าเครื่องสำอางที่ผลิตจากเกาหลีแท้จริง  บางครั้งเราอาจจะไม่เคยคิดว่าสิ่งๆนี้เราทำได้ แต่เมื่อโอกาสมาแล้วเราเปิดตา เปิดใจ คว้าโอกาสนี้ไว้แล้วบอกตัวเองว่า "ฉันจะเล่นเต็ม 100%"  ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้เพียงแค่กล้าลงมือทำแล้วเราจะรู้ว่า ความยากที่เราคิดว่า การเป็น เจ้าของเครื่องสำอางเกาหลีในแบรนด์ของตัวเองที่ว่ายาก มันก็แค่นี้เองหรือนี่

หลายวันนี้เจอคำถามนี้มากมาย "ผลิตจากเกาหลี ผลิตอะไรให้ขายดี"  "ดูยังไงว่าเกาหลีจริงๆ ไม่โดนหลอก" คำถามมากมายยังคาใจคนที่อยากผลิตสินค้าจากเกาหลีเป็นแบรนด์ของตัวเอง  แน่นอนว่า การเริ่มทำธุรกิจใหม่และอะไรที่ใหม่ย่อมยังไม่มีคำว่า "ได้เรียนรู้" เมื่อยังไม่ได้เรียนรู้ "ความกลัว" ก็มักผุดขึ้นในใจ อะไรที่ยังไม่เคยทำ คำว่า "ยาก" เกิดขึ้นในจิตใต้สำนึกเสมอ "คิดต้นทุนยังไง ขายยังไง กำไรกี่เท่าดี ขายระบบไหน สินค้าประเภทไหนดี  ผลิต แล้วจะมีคนซื้อไหม  สินค้าที่เราคิดเหมาะกับลูกค้าแบบไหน" คำถามมากมายจะจบได้ที่คำว่า "ลงมือทำ" ทำไมคนไทย ถึงอยากมีแบรนด์สินค้าเกาหลีเป็นของตัวเอง ก็เพราะว่า "ขายง่าย" ด้วยว่า คนไทยชื่นชอบและมีความมั่นใจในคุณภาพของความเป็นเกาหลีนวัตกรรมความงามมักเกิดขึ้นจากประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นศัลยกรรม เครื่องสำอาง ครีมต่างๆ เรียกได้ว่า คนผลิตที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้ต้องติดตามทุกนาทีกับความเปลี่ยนแปลง แต่ก็เป็นความสุขมากที่ได้รับรู้ถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ สารประกอบใหม่บางชนิดถูกคิดค้นมานานแสนนานกว่าจะออกมาเป็นสารประกอบแต่ละชนิด  ไหนจะเป็นเรื่องของนวัตกรรมเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตที่ทันสมัย รวมถึงผู้คิดค้นสูตรสินค้า ทุกวันนี้คนผลิตดีใจมากมายที่ได้คลุกคลีกับนวัตกรรมเหล่านี้ แถมยังได้ไอเดียต่างๆจากระดับแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง และอีกหลายๆ หน่วยงานที่ได้มีโอกาสเข้าไปคลุกคลี

ผลิตเครื่องสำอางเกาหลีอย่างไร ให้ขายดี?

ขอแยก Keyword ก่อนนะคะ

- ผลิตเครื่องสำอาง
- เครื่องสำอางเกาหลี
- ผลิตเครื่องสำอางเกาหลี
- ผลิตอย่างไรให้ขายดี

ตาม Keyword นี้เราต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?       9 ข้อเบาๆ นะคะ
1. คิดถึงงบประมาณที่เราจะใช้กับสินค้าของเราก่อน จัดสรรว่าเราจะลงทุนกับสินค้าอย่างไรไม่ให้เดือดร้อน  ไม่ให้เป็นทุกข์
2. คิดถึงงบประมาณที่เราจะใช้ในการทำการตลาด การขาย
3. เลือกเฟ้นบริษัทรับผลิตที่เชื่อถือได้และนัดคุยเพื่อหามุมมองและสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าเขาสามารถดูแลสินค้าของเราได้จริงๆ และต้องมั่นใจได้ว่าผลิตจากเกาหลีแน่นอนของแท้ ไม่มีการนำแค่เพียงสารประกอบจากเกาหลีมาผลิตในประเทศไทย เพราะมันจะทำให้ไม่เป็น  Made in korea อย่างแท้จริง
4. คิดถึงคุณภาพของสินค้ามากกว่ากำไรที่จะได้เพราะคุณภาพจะสร้างกำไรด้วยตัวเอง
5. คิดถึงแพกเกจของสินค้าด้วยว่า เหมาะสมกับเนื้อครีม วัตถุดิบของเราหรือไม่ อย่าเลือกด้วยความสวยงามความชอบอย่างเดียว  ไม่น่าจะดีถ้าคนใช้สินค้าต้องทุบขวดทุบกระปุกเพื่อเอาเนื้อครีมเนื้อสินค้าออกมาใช้
6. คิดนิดนึงถ้าอยากจ่ายถูกๆ แต่คนผลิตบอกว่าคุณภาพสูงส่ง ของถูกของดีเลิศยังไม่มีในโลก ทุกอย่างต้องสมเหตุสมผล อย่าปล่อยให้คนผลิตดูถูกความคิดเราด้วยคำว่า "อยากได้สินค้าดีดี แต่ราคาถูกๆ"  มันเป็นไปไม่ได้
7. คิดให้ออกสินค้าเรากลุ่มเป้าหมายคือใคร อย่าคิดนะว่า ทุกคนเพราะการคิดว่าทุกคน จะทำให้ Keyword คำว่า "ขายดี" ไม่บังเกิด
8. คิดถึงกลุ่มเป้าหมายให้บรรลุก่อนคิดว่าสินค้าคืออะไรได้นะ
9. แต่ถ้าสินค้าที่จะผลิตคือความฝัน  คือสิ่งที่คิดว่าต้องการผลิตสินค้าตัวนี้จริงๆ ก็ไม่ยากที่เราจะรู้กลุ่มเป้าหมายในสินค้าได้อย่างง่ายดาย

ยังมี Keyword อีกมากมายที่ต้องรู้ แต่ก็ไม่ได้ยากที่จะรับรู้เพื่อประโยชน์ในธุรกิจของตนเอง

หากโจทย์ของเรา คือ การทำเพื่อ...
..เพื่อให้ประโยชน์แก่ผู้ซื้อใช้
...เพื่อให้คุณค่าแก่คนตัดสินใจซื้อ
....เพื่อแก้ไขปัญหาให้ผู้ที่มีปัญหานั้น 
.....เพื่อให้ผู้คนใช้สินค้าปลอดภัย 
......เพื่อให้ผู้คนใช้สินค้าที่มีคุณภาพ
.......เพื่อให้ผู้คนใช้สินค้าที่ราคาสมเหตุสมผล
........เพื่อให้ผู้คนรับรู้ข้อดีข้อเสียของสิ่งที่ใช้อยู่
แค่คุณ "ให้" ด้วยใจจริง สิ่งที่ตามมานั่นคือ "กำไร" โดยไม่ต้องร้องขอ

#เสพติดธุรกิจความงามbyวีณาจางค์


แหล่งที่มา >> BrandOEM

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562

มีนาคม 15, 2562

8 แนวทางการบริโภคอาหารเสริมอย่างปลอดภัย


                           
                         



สวัสดีค่ะ เพื่อนๆวันนี้เราจะมาคุยกันต่อเรื่องอาหารเสริมจากบทความคราวที่แล้ว วันนี้เนื้อหาจะเกี่ยวกับแนวทางการบริโภคอาหารเสริมอย่างปลอดภัย จะมีประโยชน์มากน้อยเพียงใดเชิญอ่านกันได้เลยค่ะ

 1. ก่อนรับประทานอาหารเสริมชนิดใดควรพิจารณาและขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญในประเด็นต่างๆ เช่น ประโยชน์ต่อสุขภาพทั่วไปจากการบริโภคอาหารเสริมชนิดนั้น ประโยชน์และความเหมาะสมต่อสภาพร่างกายของผู้ที่ต้องการบริโภคความปลอดภัยและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีการ ปริมาณ และระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการบริโภค

2. ศึกษาข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนการบริโภคเกี่ยวกับชนิดของอาหารเสริม ส่วนผสมในอาหารเสริมและข้อมูลสำคัญสำหรับผู้บริโภค อย่างวิธีการบริโภคและผลข้างเคียง

 3. ไม่บริโภคอาหารเสริมเพื่อรักษาอาการป่วยที่ตนเองสงสัย แต่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์ว่าควรบริโภคอาหารเสริมชนิดนั้นหรือไม่

4. ไม่บริโภคอาหารเสริมแทนการใช้ยารักษา หรือบริโภคร่วมกับยารักษาชนิดใด หากไม่มีคำสั่งจากแพทย์

5. ผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ต้องระมัดระวัง ในการใช้อาหารเสริมใดๆเป็นอย่างยิ่งเพราะสารเคมีที่ร่างกายได้รับอาจส่งต่อไปยังบุตรและทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อทารกได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอและบริโภคอาหารเสริมตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

6. แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสารสกัดมาจากธรรมชาติแต่ส่วนประกอบต่างๆ ในอาหารเสริมก็ไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดว่าจะมีผลลัพธ์ที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคเสมอไป ทั้งนี้ อาหารเสริมอาจมีส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้บริโภคได้หากบริโภคอย่างผิดวิธี หรืออาจส่งผลข้างเคียงต่อผู้บริโภคบางรายที่มีอาการแพ้ยาหรือสารใด ๆได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้บริโภคที่มีความจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริม ควรระมัดระวังในการบริโภคอยู่เสมอ

7. หลังบริโภคอาหารเสริม หากพบผลข้างเคียงเป็นอาการเจ็บป่วยใดๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาทันทีและแจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังบริโภคอาหารเสริมชนิดใดอยู่

8. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมเพราะอาจจะทำให้อาการของโรคแย่ลงหรือมีผลข้างเคียงต่อยาที่ใช้ในปัจจุบัน

ดังนั้น ก่อนจะบริโภคควรพิจารณาผลิตภัณฑ์นั้นๆก่อนว่าเหมาะสมกับเรามากน้อยเพียงใด ร่างกายเราต้องการบริโภคจริงมั้ยหรือถ้ายังไม่แน่ใจก็ควรไปพบปรึกษาแพทย์ดีที่สุด อย่าเลือกตัดสินใจที่จะลองกินเองแล้วเกิดผลเสียทีหลังถึงจะไปพบแพทย์ บางครั้งอาจเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกาย หรืออาจอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้ค่ะ




แหล่งที่มา >> BrandOEM

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562

มีนาคม 14, 2562

อาหารเสริมคืออะไร




อาหารเสริมคืออะไร? ทำไมต้องรับประทานอาหารเสริม?

สงสัยกันอยู่ใช่มั้ยคะ วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องอาหารเสริมให้เพื่อนๆไว้เป็นตัวเลือกว่าเราสมควรจะเลือกใช้มั้ย หรืออาหารเสริมไม่มีความจำเป็นกับตัวเรา

อาหารเสริม คือ สารอาหารที่ใช้รับประทานเพิ่มเติมจากมื้ออาหารหลัก อาจใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์หรือเพื่อบำรุงสุขภาพตามความเชื่อส่วนบุคคล สารอาหารที่มักถูกนำมาทำเป็นอาหารเสริม ได้แก่ วิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน พืช ผัก สมุนไพรต่างๆ เป็นต้น อาหารเสริมถูกผลิตออกมาให้สามารถรับประทานได้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ด แบบแคปซูล แบบผง หรือแบบน้ำ



ทำไมต้องรับประทานอาหารเสริม?

บางคนมีความเชื่อว่า การรับประทานอาหารเสริมอาจช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงได้แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมเพิ่มเติมเพราะสารอาหารที่จำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโตของร่างกายหรือการมีสุขภาพดีโดยส่วนใหญ่ สามารถหาได้จากการรับประทานอาหารให้ครบโภชนาการทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนผู้ที่อาจมีความจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมได้แก่ ผู้ที่กำลังป่วยด้วยภาวะต่างๆ ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยแล้วว่าร่างกายมีภาวะขาดสารอาหารชนิดใดๆก็ตาม ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตรและผู้ที่ไม่สามารถบริโภคสารอาหารเหล่านั้นได้ในปริมาณที่ร่างกายสมควรได้รับ เป็นต้น ทั้งนี้หากร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะอาการป่วยที่สร้างปัญหาแก่สุขภาพได้ เช่น

การขาดวิตามินเอ อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางสายตา ภาวะผิวแห้ง ผมแห้งหรือคันระคายเคืองที่ผิวหนัง

การขาดวิตามินบี อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง  มือชา เมื่อยล้า อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ผิวหนังอักเสบ หรือปากนกกระจอก

การขาดวิตามินซี อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ผิวแห้ง ผมแตกปลาย เกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม โรคลักปิดลักเปิด และภูมิคุ้มกันร่างกายต้านทานการติดเชื้อได้ไม่ดีเท่าที่ควรทำให้ป่วยง่าย

การขาดวิตามินดี อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน อาการปวดตามกระดูก กล้ามเนื้ออ่อนแรง

การขาดธาตุเหล็ก อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง อาการอ่อนเพลีย เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดพัฒนาการช้าทางร่างกาย การเคลื่อนไหว และกระบวนการคิด

 การขาดแคลเซียม อาจทำให้เป็นตะคริวได้ง่าย อาการกล้ามเนื้อหดเกร็งบริเวณมือและเท้า ปวดเกร็งหน้าท้อง หรืออาจนำไปสู่ภาวะกระดูกบางและโรคกระดูกพรุนได้ในที่สุด
ในบางกรณี แพทย์จะเป็นผู้ดูแลแนะนำหรือกำหนดให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารเสริมในปริมาณที่เหมาะสม แต่สำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการบริโภคอาหารเสริมเพราะคิดว่าสารอาหารที่ได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร พร้อมศึกษาข้อมูลการบริโภคอาหารเสริมแต่ละชนิดให้ถี่ถ้วนก่อนเสมอ เพราะการรับสารอาหารชนิดใดเข้าสู่ร่างกายจนมากเกินพอดี อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน


แหล่งที่มา >> BrandOEM




BRAND AND OEM CONSULTING (THAILAND). ขับเคลื่อนโดย Blogger.